วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 07.00 น. พระปลัดบูรพา กิตติธัมโมภิกขุ เจ้าอาวาสวัดโสภา ได้จัดงานประเพณี เก่าแก่ของชาวท่าช้าง พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระวัชรสิงหบุราจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรีเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พิธีทำขวัญข้าวโดยพระครูอุเทศธรรมประจักษ์ เจ้าอาวาสวัดหมกแถว จังหวัดอุทัยธานี จำนวน 2 ธรรมมาส โดยมี วงปี่พาทย์ร่วมบรรเลงและมีนางรับขวัญข้าวจำนวน 9 ท่านโดยมีนายประสิทธิ์ พุ่มไม้ชัยพฤกษ์ วัฒนธรรมจังหวัดสิงห์บุรี เป็นประธานพิธี พร้อมด้วยนางสาวโสภา กองเนตร นายอำเภอท่าช้าง และนางน้ำทิพย์ โตสงัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์ประจักษ์ เป็นประธานกล่าวรายงาน พร้อมด้วย ผู้เข้าร่วมพิธี นางประทีป ตัณฑะตะนัย พัฒนาการจังหวัดสิงห์บุรี นางสาวผ่องพรรณ บรรณทอง ผู้อำนวยการกลุ่มงานสารสนเทศการพัฒนาชุมชน




นางสาวพันทอง เฉลยพจน์ พัฒนาการอำเภอท่าช้าง พร้อมเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนอำเภอท่าช้าง ซึ่งมีวัตถุประสงค์การจัดงาน เพื่อเป็นการส่งเสริม ธำรงรักษา และอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม อันดีงามของไทย เพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่ประชาชน ในการถนรักษ์วัฒนธรรมอันอันดีงามของไทย เพื่อเป็นการสร้างความรัก / และความสามัคคีของคนในชุมชน กิจกรรมภายในงาน การทำบุญตักบาตรและเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เนื่องในวันมาฆบูชา การทำขนมจีน น้ำยากะทิ น้ำยาป่า แกงเขียวหวาน และน้ำพริกของชุมชนตำบลโพประจักษ์. การทำขวัญข้าวของชาวบ้านวัดโสภา การปิดทองไหว้พระ การทอดผ้าป่ากลางเดือน 3 ของชาววัดโสภา การจัดงาน ทางวัดโสภาและ องค์การบริหารส่วนตำบลโพประจักษ์ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน
พิธีกรรม บุญคูนข้าว หรือ บุญคูนลาน
บุญเดือนยี่(เดือนสอง)หรือบุญคูณลาน
บุญคูณลาน เป็นการทำบุญขวัญข้าวที่นวดเสร็จแล้วและกองไว้ในลานข้าวกำหนดทำในเดือนยี่จะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้ เหตุที่มีการทำบุญนี้เนื่องจากผู้ใดที่ทำนาได้ข้าวมากๆ ก่อนหาบหรือขนข้าวมาใส่ยุ้งฉางก็อยากทำบุญกุศล เพื่อเป็นสิริมงคลให้เพิ่มความมั่งมีศรีสุขแก่ตน และครอบครัวสืบไป ที่สำหรับตีหรือนวดข้าว เรียกว่า ลานการเอาข้าวที่ตีแล้วมากองให้สูงขึ้น เรียกว่า คูนลาน หรือที่ เรียกกันว่าคูนข้าวชาวนาที่ทำนาได้ผลดีอยากได้กุศลให้ทานรักษาศีล เป็นต้นก็จัดเอาลานนข้าวเป็นสถานที่ทำบุญ การทำบุญในสถานที่ดังกล่าวเรียกว่าบุญคูนลานกำหนด เอาช่วงเดือนยี่เป็นเวลาทำบุญจึง เรียกว่า บุญเดือนยี่ ” ฮีตหนึ่งนั้น พอแต่เดือนยี่ได้ล้ำล่วงมาเถิง ให้พากันหาฟืนสู่คนโฮมไว้ อย่าได้ไลคองนี้ มันสิสูญเสียเปล่า ข้าวและของหมู่นั้นสิหายเสี่ยงบ่ยัง จงให้ฟังคองนี้แนวกลอนเฮาบอก อย่าเอาใจออกแท้เข็นฮ้ายแล่นเถิงเจ้าเอย ” หลังการเก็บเกี่ยวจะทำบุญคูณข้าวหรือบุญคูณลาน นิมนต์พระสวดมนต์เย็น เพื่อเป็น มงคลแก่ข้าวเปลือก รุ่งเช้าเมื่อพระฉันเช้าแล้วจะทำพิธีสู่ขวัญข้าว นอกจากนี้ชาวบ้านจะเตรียม เก็บสะสมฟืนไว้หุงต้มที่บ้าน ดังคำโบราณว่า …. เถิงฤดูเดือนยี่มาฮอดแล้ว ให้นิมนต์พระสงฆ์ องค์เจ้ามาตั้งสวดมุงคูณเอาบุญคูณข้าว เตรียมเข้าป่าหาไม้เฮ็ดหลัว เฮ็ดฟืนไว้นั่นก่อน อย่าได้ หลงลืมถิ่น ฮีตของเก่าเฮาเดอ…นิมนต์พระสวดมนต์เย็นเพื่อเป็นมงคลแก่ข้าวเปลือก แล้วทำพิธีสู่ขวัญข้าวนอกจากนี้ชาวบ้านเตรียมเก็บสะสมฟืนไว้หุงต้มที่บ้านคนอีสานเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญแก่ไร่นา ข้าวและต้นข้าว เพราะเป็นแหล่งทำมาหากินที่สำคัญ วิถีชีวิตส่วนใหญ่ของคนอีสานอยู่ในท้องไร่ท้องนา อาชีพหลักก็เป็นอาชีพด้านการเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำนา
ในอดีตคนอีสานมีประเพณีและพิธีกรรมที่เกี่ยวกับข้าวถึง 9 ครั้ง ได้แก่
เมื่อข้าวเป็นน้ำนม
เมื่อข้าวเป็นข้าวเม่า
เมื่อเก็บเกี่ยว
เมื่อจักตอกมัดข้าว
เมื่อมัดฟ่อน
เมื่อกองอยู่ในลาน
เมื่อทำลอมข้าว
เมื่อเก็บข้าวเข้าเล้า
แต่ด้วยเหตุอันใดไม่ทราบจึงทำให้ประเพณีดังกล่าวสูญหายไปแทบไม่หลงเหลือให้เห็นอีก แต่ก็คงยังมีอยู่บางหมู่บ้านที่ยังคงอนุรักษ์ให้เป็นประเพณีของชุมชนอยู่ แต่ก็ดูไม่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์อย่างแต่ก่อน
มีตำนานเกี่ยวกับการทำบุญคูณลานว่า
ในสมัยพุทธศาสนาของพระมหากัสสัปปะ มีชายสองพี่น้องทำนาอยู่ด้วยกัน จนเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำบุญครั้งแรกคือเมื่อข้าวเป็นน้ำนมน้องชายก็มาชวนผู้เป็นพี่ทำข้าวมธุปายาสถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ แต่พี่ชายปฏิเสธ และเห็นว่าน้องไม่รู้จักอดออมเอาแต่จะทำบุญจึงแบ่งนากันทำคนละผืน
ผู้เป็นน้องทำบุญข้าวครบตามประเพณีทั้ง 9 ครั้ง และมีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาเต็มเปี่ยม ในพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมจึงสำเร็จอรหันต์เป็นอัญญาโกณฑัญญะ ส่วนผู้เป็นพี่ชายก็ทำบุญข้าวแต่ทำเพียงครั้งเดียว จึงเกิดเป็นสุภัททปริภาชก สำเร็จเป็นองค์สุดท้าย เมื่อชาวอีสานทราบถึงอานิสงส์นี้จึงพากันทำบุญกันตามความเชื่อ
รายละเอียดขั้นตอนของพิธีกรรมจะเป็นที่ตกลงกันของสมาชิกในหมู่บ้าน โดยจะใช้บริเวณลานวัดเป็นที่ประกอบพิธี ซึ่งชาวบ้านจะนำข้าวเปลือกแบ่งจากส่วนของตนมากองรวมกันไว้ที่ลานที่จัดเอาไว้ เมื่อถึงเวลาประกอบพิธีก็จะนิมนต์พระมาสวด และก็ทำพิธีพราหมณ์ สู่ขวัญลานข้าว กองข้าวที่ลานเป็นสัญญลักษณ์ที่แสดงถึงความมีน้ำใจ ชอบทำบุญทำกุศล และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งยังหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของผลผลิตในปีนั้น ๆ อีกด้วย
คือถ้ากองข้าวที่ลานรวมกันกองใหญ่ก็จะหมายถึงความศรัทธาและมีน้ำจิตน้ำใจของผู้คนในหมู่บ้านนั้น และก็แสดงว่าฝนฟ้าในปีนั้นตกต้องตามฤดูกาล น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ดีผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จึงมากพอที่จะให้ชาวบ้านแบ่งปันมาทำบุญ
นายสรวัชร สรรเพ็ชร์ รายงาน