จากกรณี ตชด.414 ชุดเฝ้าตรวจชายแดนที่ 4102 บริเวณช่องหินดาษ ชายแดนไทย-เมียนมา หมู่ 10 ตำบลรับร่อ อ.ทาแซะ จ.ชุมพร พร้อมด้วย ชปส.กก.ตชด.41 และร.ต.อ.ชัยยะ สิทธิจันทร์ หน.ชปส.กก.ตชด.41,พร้อมกำลัง ได้ร่วมจับกุมตัว นายสุนทร น้อยราช อายุ 53 ปี ที่อยู่ 236 หมู่ 23 ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร
พร้อมด้วยของกลาง รถยนต์กระบะสี่ประตู สีขาว ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน ขจ-8950 สุราษฎร์ธานี จำนวน 1 คัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแจ้งว่าต้องถูกจับกุมโดยกล่าวหาว่า
1. ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่
2. ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่ง สั่งการตามอำนาจที่กฎหมายให้ไว้
3. เป็นเจ้าของหรือผู้ควบคุมยานพาหนะ นำพาหนะเข้ามาหรือออกไปนอกราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่า สถานี หรือท้องที่ ตามที่ประกาศกำหนด” (มาตรา 23 พรบ.คนเข้าเมืองฯ)
4. เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง และผ่านการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่” (มาตรา 62 พรบ.คนเข้าเมือง)
5. ร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือกระทำการด้วย ประการใด ๆ อันเป็นการอุปการะ หรือช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักร โดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ (มาตรา 62 พรบ.คนเข้าเมือง)
โดยเจ้าหน้าที่ ชุดเฝ้าตรวจชายแดนที่ 4102 สามารถจับกุมได้ที่บริเวณ ช่องหินดาษ(ชายแดนไทย-เมียนมา) หมู่ที่ 10 ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร และการกระทำของนายเหมืองเพ็ชร์ หรือเพ็ชร์ แก้วเล่อ ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นความผิดฐาน”ร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือกระทำการด้วยประการใดๆอันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย,
เป็นเจ้าของหรือผู้ควบคุมยานพาหนะนำพาหนะเข้ามาหรือออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่า สถานีหรือท้องที่ ตามที่ประกาศกำหนด และเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมืองและผ่านการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่” พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11,18,23,62,63 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สภ.ท่าแซะ นำตัวนายสุนทรฯ กำนัน นายเหมืองเพ็ชรฯ พร้อมบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาชายหญิงจำนวน 15 คน ฝากขังศาลจังหวัดชุมพร โดยมีครอบครัว คนใกล้ชิดและชาวบ้านรอเฝ้าติดตามและ ในวันเดียวกัน นายสุนทรฯและนายเหมืองเพ็ชรฯได้ประกันตัวในชั้นศาล โดยใช้หลักทรัพย์คนละจำนวน 200,000 บาท ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 พ.ย.68 ที่ห้องประชุมโรงแรมบัวธารา อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร กำนันนายสุนทร พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านรวม 8 คน ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อชี้แจงอีกมุมของกำนันซึ่งยังมีข้อสงสัยและกำนันยังคงติดใจว่าทำไมตนเองถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันนำพาร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรฯ” โดยที่ไม่เกี่ยวข้องที่นายเหมืองเพ็ชรฯพาบุคคลต่างด้าวชาวเมียนมาชายหญิงและเด็กรวม 37 คน เข้าออกผ่านด่านคนละวันคนละเวลากัน และนายเหมือนเพ็ชรเป็นเพียงเพื่อนบ้านและนายเพ็ชรก็มีสวนอยู่ในพื้นที่ตำบลเดียวกัน บุตรก็เรียนอยู่ในโรงเรียนตชด.ฝั่งไทยอีกด้วย
โดยกำนันสุนทร กล่าวชี้แจงว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนเองพร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ชักชวนกันไปทอดกฐินสามัคคีเชื่อมความสัมพันธ์ที่ฝั่งประเทศเมียนมาตรงข้ามบ้านช่องหินดาษ หมู่ 10 ตำบลรับร่อ อ.ท่าแซะ ระหว่างทางแวะซื้อกาแฟฝากเจ้าหน้าที่ ตชด.เมื่อถึงด่านเห็นไม้แดงขาวเปิดอยู่ไม่สุดแต่รถสามารถผ่านไปได้ จึงจอดรถและเอ่ยตะโกนถามไปว่าผู้หมวดชายอยู่ไหมครับ จนท.ตอบว่าไม่อยู่ แต่ขณะนั้นได้เห็นผู้หมวดวัฒนา เดินอยู่บนฐานจึงให้ผู้ใหญ่บ้านขึ้นไปพูดคุยพร้อมหิ้วกาแฟติดมือไปด้วย
แต่ผู้ใหญ่บ้านเงียบหายไปจึงตามชวนผู้ช่วยขึ้นไปดูด้วยกัน พบว่าผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้าไม่ค่อยดีและสังเกตุเห็นถุงกาแฟวางไว้บนป่าหญ้า กำนันรู้สึกไม่สบายใจเพราะตั้งใจซื้อมาฝากตชด. จากนั้นทั้งสามได้ชวนกันไปพบผู้หมวดวัฒนาได้ทักทายสวัสดี พร้อมขออนุญาติออกไปฝั่งประเทศเมียนมาเพื่อทอดกฐินสามัคคีเชื่อมความสัมพันธ์ ทางด้านผู้หมวดถามว่า กำนันได้คุยกับปลัดและนายอำเภอหรือยัง
ด้านกำนันบอกว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ไม่อยากรบกวนผมจะเข้าไปประมาณ 1-2 ชม.ก็กลับออกมาแล้ว แต่ผู้กองนั่นนิ่งเฉย กำนันจึงโทรหาผู้การฯบอย(กำนันยกมือไหว้ขออนุญาตที่เอ่ยชื่อ)โดยเปิดเสียงให้ผู้กอง ตชด.ได้ยินด้วย พร้อมกับแจ้งความประสงค์เหตุผลที่จะข้ามแดนไปฝั่งประเทศเมียนมาให้ฟัง ผู้การฯยังเป็นห่วงถามไปว่าเข้าไปลึกและปลอดภัยไหม ทางกำนันบอกว่าเข้าไปประมาณ 3 กิโลกว่าๆและปลอดภัยดี ผู้การฯเอ่ยว่า อ่า อ่า กำนันขอบคุณและปิดโทรศัพท์ จากนั้นเดินลงบันใดไม่หันกลับมองหลัง
ต่อมาได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมาว่าอะไรไม่ทราบ กำนันจึงหันกลับไปใช้ถ้อยคำภาษาพื้นถิ่นตามในคลิปที่เป็นข่าว และต่อว่าผู้หมวด ไม่ให้เกียรติกัน ผมกำนันในพื้นที่ เจ้าของพื้นที่เหมือนกันให้ความร่วมมือให้เกียรติกันมาตลอดทำไมเป็นแบบนี้ กำนัน ผู้ใหญ่มาหาทำไมต้องเดินหนี ระหว่างที่เดินลงมาจากฐานตชด.พบว่ามีชาวบ้านเป็นลุงป้าคนไทยทั้งหมดขับรถอีซูซุมาจอด ป้าคนหนึ่งบอกว่าป้าขอติดรถไปด้วยป้าไปไม่ได้ เลยรับทั้งหมดขึ้นติดรถข้ามไปด้วยกันรวมทั้งหมด 9 คน รถ 1 คัน กำนันจึงรับข้ามฝั่งไปด้วยกัน
พอข้ามไปได้ก็นำมาม่าไปแจกจ่ายให้กับฐานฝั่งเมียนมา และทอดกฐินซึ่งมีภาพตอนทำกิจกรรมด้วย โดยใช้เวลาอยู่ฝั่งเมียนมาประมาณ 2 ชม.กว่าๆ ตอนกลับมาด้วยกันทั้งหมด 9 คนเท่าเดิมรวมทั้งเด็กไทย 1 คนเรียนอยู่โรงเรียน ตชด. มาถึงหน้าด่านพบว่ามีจนท.นุ่งกางเกงขาสั้นและคนอื่นๆประมาณ 5-6 คน เห็นว่าผิดปกติ เพราะว่ากำนันไม่รู้จักคนที่อยู่หน้าด่านโดยอธิบายให้เจ้าหน้าที่ชุดหน้าด่านได้เข้าใจถึงเหตุผลเข้าออก ซึ่งได้ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานไว้
จากนั้น จนท.ได้เชิญตนเองไปที่ฐานพูดคุยแจ้งว่าติดพ.ร.บ.เข้าเมืองฯ แต่ส่วนรถอีกคันหนึ่งนั้นตามหลังมาซึ่งไม่ทราบว่ามาตอนไหน เป็นชุดจากชาวบ้าน มีบ้าน มีสวนฝั่งเมียนมาที่มีการทอดกฐินนั้นเขาเข้าไปกันเอง คนชื่อเพ็ชรเป็นคนประสานเข้าออกซึ่งไปก่อนหน้าผม 1 วัน แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผม ผมไปของผมคันเดียว และมาทราบทีหลังว่าเขาก็จับคันนั้นด้วย ซึ่งเป็นชาวเมียนมาเข้ามาทำงานที่เขตท่าแซะ มีพาสปอร์ตทุกคน แล้วนำตัวไปที่กองร้อยฯน้ำตกกะเปาะ พร้อมกับจนท.ขับรถทั้งสองคันตามกันมา
กำนันสุนทรฯ กล่าวอีกว่า ต่อมามีนักข่าวไปถ่ายโดยถ่ายภาพติดรถผมด้วยทำให้มองดูแล้วมีความเชื่อมโยงกัน นายเพ็ชรไม่เกี่ยวข้องกับผม แค่เขามาเช่าบ้านอยู่ที่หมู่ 10 เขามีสวนจำนวน 5 ไร่ ลูกก็เรียนอยู่โรงเรียนตชด.ถ้านายเพ็ชรผ่านบ้านผมก็แวะกินกาแฟเป็นคนรู้จักกัน นายเพ็ชรและลูกเป็นคนไทย จากนั้นเจ้าหน้าที่ต.และตชด.ทำบันทึก โดยเรียกผม ผู้ใหญ่และผู้ช่วยแจ้งข้อกล่าวหาบานความผิด พ.ร.บ.เข้าเมือง ต้องไปเสียค่าปรับ 8 คน
แต่ผมโดนแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรฯ” ผมให้การปฏิเสธ ถูกส่งตัวมาที่สภ.ท่าแซะในตอนเช้าถูกขังรวมกับพี่น้องชาวเมียนมา 1 วัน 1 คืน ทราบว่าชาวเมียนมามีพาสปอร์ตมีนายจ้างทุกคน ชาวเมียนมาจำนวน 37 คน มีผู้ใหญ่ 15 คนที่เหลือเป็นเด็ก ญาติมารับกลับเข้าโรงเรียนตชด.เกือบทุกคน
ยังคาใจว่า ผมมาติดที่ด่านก่อนส่วนที่บรรทุกชาวเมียนมาตามมาทีหลัง ซึ่งตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตามข้ามไปฝั่งเมียนมาคนชื่อเพ็ชรเขาประสานด่านออกไปเอง กลับมาก็มาทีหลังของตน สุดท้ายสติดใจว่าทำไมตนเองถุกกล่าวหาว่านำพาแรงงานต่างด้าว ผมโทรนขออนุญาติผู้การฯบอยแล้ว ว่าไปทอดกฐินเชื่อมความสัมพันธ์ เพราะทุกเดือนมีประชุมความสัมพันธ์ชายแดน ซึ่งมีหลักฐานร่วมกิจกรรมเล่นฟุตบอลกัน ก่อนเกิดเหตุการณ์ขึ้นทางทางด้านนายวินัยบอกกำนันว่าต้องการทอดกฐินเพราะที่วัดไฟไหม้กุฏิเหลืออยู่ซีกเดียว ถึงได้ร่วมกันไปทอดกฐิน ผมคงไม่สิ้นคิดถึงขนาดค้าแรงงานต่างด้าวกลางวันหรอกครับและเข้าออกฐานตชด.ด้วย”
ด้านกำนันยังกล่าวอีกว่า สำหรับตนพุดกล่าวอ้างพาดพิงถึงรัฐมนตรี เพราะว่าช่องหินดาษ เนิน 491 ผมได้ทำเรื่องเสนอไปทางจังหวัดและทำประชาคมเรื่องเปิดจุดผ่อนปรน ต่อมา สส.รังสิมันส์โรมลงมาในพื้นที่ผมก็ได้พาไปที่ช่องหินดาษและได้พูดคุยกับสส.รังสิมันส์โรมไว้ว่า ฝากประสานเรื่องจุดผ่อนปรนไว้ด้วย” นายสาร กำนันตำบลรับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เปิดใจชี้แจง
เอกชนะ นวนละมัย ข่าวภูมิภาคจ.ชุมพร 098-9515199


