ปัญหาสิ่งแวดล้อมในสมุทรสาคร ไม่ว่าจะเป็นน้ำในคลองเน่าเสีย โรงงานปล่อยกลิ่นเหม็น สร้างฝุ่นควันให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชนในพื้นที่ ทั้งหมดล้วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนานมากกว่า 10 ปี ไม่ว่ารัฐบาลส่วนกลางจะมีนโยบายมาแก้ไข ส่วนราชการดำเนินการตามหน้าที่ หรือแม้แต่ผู้คนในพื้นที่ร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัญหาก็ยังคงอยู่และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้น
ปัญหาสิ่งแวดล้อมเริ่มมีการพูดถึงอย่างเป็นทางการ คือ ช่วงปี พ.ศ. 2540 กว่า โดยมี ส.ส.ในพื้นที่ได้ตั้งกระทู้ถามสดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับปัญหาโรงงานปล่อยน้ำเสียจนน้ำในคลองเน่าเสีย ซึ่ง ส.ส. คนนั้น คือนาวาตรี สุธรรม ระหงษ์ แม้แต่ อดีต ส.ส.ครรชิต ทับสุวรรณ ก็เคยตั้งกระทู้ถามสดในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แม้แต่เมื่อไม่นานมานี้ อดีต ส.ส. ทองแดง เบญจะปัก พรรคก้าวไกล ในฐานะส.ส.ฝ่ายค้าน และ อดีต ส.ส. จอมขวัญ กลับบ้านเกาะ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ก็ต่างตั้งกระทู้ถามสดเกี่ยวกับปัญหาน้ำในคลองเน่าเสียในพื้นที่สมุทรสาครในสภาผู้แทนราษฎรด้วยเช่นกัน รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยแก้ไขปัญหา แม้แต่ภาคเอกชนหรือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนก็ออกมาร้องเรียนสื่อและร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ตามที่เห็น ปัญหาก็ยังคงเดิมเหมือนที่พวกเรายังเห็นอยู่ในทุกวันนี้
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ขนาด ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลลงมาแก้ไขยังทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงประชาชนคนธรรมดาที่ร้องเรียนปัญหาด้วยตัวเองจะทำอะไรได้ อย่างปัญหาโรงงานที่ต.แคราย ที่ประชาชนร้องเรียนหน่วยงานรัฐจนโรงงานถูกปิดไปถึง 10 ครั้ง โรงงานก็ยังเปิดมาสร้างปัญหาเหมือนเดิม ยังไม่รวมอีกหลาย ๆ โรงงานที่เคยถูกปิดปรับปรุงในสมัยท่านผู้ว่าฯคนก่อน ก็กลับมาเปิดกิจการเริงร่าเหมือนเดิม หรือแม้แต่บางโรงงานที่ถูกปิดถาวร ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ในฐานะโรงงานหน้าใหม่อีกในอนาคตอันใกล้นี้
เหตุที่เป็นเช่นนี้นั้น มีหลายประการ ประการแรก คือ ต่อให้โรงงานเหล่านั้นทำผิดกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมากมาย หรือถูกสั่งให้ปิดถาวรก็ตาม แต่”กรรมสิทธิ์ในตัวโรงงาน ทรัพย์สินภายใน และที่ดิน ของเจ้าของเดิมก็ยังเหมือนเดิม” ดังนั้น เจ้าของเดิมก็ยังสามารถกลับมาเปิดโรงงานได้เหมือนเดิมหากปรับปรุงจนเป็นไปตามที่หน่วยงานรัฐกำหนดไว้ แม้ว่าต่อมาจะทำผิดกฎหมายสร้างความเดือดร้อนอีกหลายครั้งหลายคราจนชาวบ้านโกรธแค้นสาหัสสากรรจ์และสุดท้ายถูกสั่งปิดถาวร แต่ก็ไม่สามารถห้ามเจ้าของเดิมเปิดโรงงานใหม่หลังเรื่องเงียบได้ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่หรือหรือเปลี่ยนไปทำอุตสาหกรรมใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐ ซึ่งหากจะไปยึดสิทธิ์นี้จากเจ้าของโรงงานก็ไม่อาจทำได้ เพราะถือว่าเป็นสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนสามารถครอบครองทรัพย์สินได้โดยเสรีหากได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมาย เป็นสิทธิที่แม้แต่รัฐก็ไม่อาจริดรอนไปได้โดยไม่มีกฎหมายรับรอง
ประการที่สอง คือ การที่กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมนำมาใช้จริงได้ลำบาก ไม่ว่าจะเป็นโทษที่น้อยจนคนทำผิดไม่กลัว ยอมปรับไปก็ไม่เป็นไรกำไรไม่หายเท่าไหร่ ความไม่เป็นมืออาชีพของเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วยงาน ที่ทำได้เพียงรณรงค์ให้ชาวบ้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่กับเจ้าของโรงงานหรืออุตสาหกรรมที่ทำผิดกฎหมายกลับทำอะไรไม่ค่อยได้ อ้างว่าติดปัญหาอย่างนั้นติดระเบียบอย่างนี้ บางทีก็อาจพบเจ้าหน้าที่บางคนพูดให้ชาวบ้านเห็นใจเจ้าของโรงงานหรือพูดแทนเจ้าของโรงงานอีกทั้งที่ชาวบ้านเขาเดือดร้อนก็มี ชาวบ้านร้องเรียนไปตั้งนานก็ไม่ตอบสนองจนชาวบ้านต้องไปร้องสื่อหรือหน่วยงานที่ใหญ่กว่าถึงจะออกมาแก้ปัญหาให้จริง ๆจัง ๆ พอเรื่องเงียบก็เหมือนเดิม อย่างตอนผู้ว่าท่านก่อนเคยไล่จัดการโรงงานที่เป็นปัญหามากมาย แต่ตอนนี้เรื่องเงียบคลองก็เน่าเหมือนเดิมอยู่ดี ยกตัวอย่างคลองสี่วาพาสวัสดิ์ ที่หน่วยงานรัฐมากมายมีโครงการบำบัดปรับปรุงทุกปี ก็บำบัดกันทุกปีอยู่นั่นแหละ ปัจจุบันก็ลองไปดูได้เลยว่าน้ำก็ดำเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าใช้เงินไปเท่าไหร่แล้ว
ประการสุดท้าย คือ ความไม่ต่อเนื่องของการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เป็นที่รู้กันดีว่าโครงการต่าง ๆนานาที่ถูกจัดขึ้นส่วนใหญ่ก็อยู่ในรูปแบบ “จัดเวที-กล่าวเปิดงาน-ตัดริบบิ้น-จัดกิจกรรม-กินข้าว-ปิดงาน-เก็บของ” ถ้าเป็นงานของภาคประชาสังคมหรือหน่วยงานเอกชนก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะถือว่าเป็นงานที่จัดด้วยเงินส่วนตัวไม่ได้ใช้ภาษีประชาชน แต่สำหรับหน่วยงานรัฐแล้วทุกโครงการล้วนเกิดจากภาษีประชาชน การจัดโครงการแล้วไม่เกิดประโยชน์ย่อมทำให้ภาษีประชาชนสูญเปล่า ส่วนมากเราจะพบกิจกรรมที่รัฐเป็นผู้จัดส่วนใหญ่ก็มักเป็นรูปแบบที่เห็นทั่วไปตามที่กล่าวไว้ข้างต้นแม้แต่โครงการด้านสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น โครงการจำพวกปีนึงราดน้ำหมักอีเอ็มลงคลองครั้งสองครั้ง หรือปีนึงโยนอีเอ็มบอลลงคลองครั้งสองครั้ง ปลูกป่าชายเลนแล้วก็ทิ้งไว้ปล่อยตามมีตามเกิดก็มี โครงการเดินรณรงค์แล้วจบไป เอารถฉีดน้ำมาฉีดพ่นฝอยเพื่อไล่ pm2.5 จริงๆแล้วเราได้ประโยชน์อะไรกับโครงการพวกนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วการจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะต้องทำในภาพใหญ่และต้องทำอย่างต่อเนื่อง เช่น ปัญหาน้ำเน่าเสียจำเป็นต้องบำบัดน้ำต่อเนื่องถึงจะเกิดผล ไม่ใช่นาน ๆทีถึงทำ รวมถึงจำเป็นต้องมีการลอกคลองอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ซากตะกอนอินทรีย์สะสมมากจนเกินไป ซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่จะทำให้น้ำเสีย ถ้าทำร่วมกับการสาดน้ำหมักจุลินทรีย์อีเอ็ม ก็จะทำให้น้ำปรับสภาพดีขึ้นมาได้ เพราะน้ำจุลินทรีย์ทำให้ตะกอนอินทรีย์ในน้ำตกตะกอนนั่นเอง
สุดท้ายนี้ หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปจังหวัดเราก็คงเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษที่ยากต่อการแก้ไขในที่สุด แม้เราจะท้อใจต่อปัญหาที่พบเจอในบ้านเกิดตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องท้อถอยไม่แก้ไขปัญหาอะไร แม้ว่าแท้จริงแล้วปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในจังหวัดเราเท่านั้น ยังมีอีกหลายที่ทั้งในประเทศนี้และบนโลกนี้ก็เกิดปัญหานี้เช่นกัน พวกเราก็ควรมีความหวังและสู้ต่อไป เพื่อสักวันหนึ่งเราจะแก้ปัญหานี้ได้ เพราะที่นี่คือบ้านเกิดของพวกเรา
บทความและภาพโดย เพชรายุทธ ทรงชุ่ม นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและอาสาสมัคร ทสม. จ. สมุทรสาคร