วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ที่ หอประชุมสมาคม ตำบลท่าไม้ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี โดยมี นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน มีสมาชิกจาก 4 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี และสุพรรณบุรี เข้าร่วมจำนวนมาก
การประชุมจัดขึ้นตามธรรมเนียมก่อนเปิดฤดูกาลหีบอ้อย เพื่อให้สมาชิกได้อัปเดตข้อมูลสำคัญของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ปีนี้มีการรายงานทั้งสถานการณ์ราคาอ้อยขั้นต้นปี 2568/69 ซึ่งคาดว่าจะต่ำกว่า 900 บาทต่อตัน, ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายปี 2567/68 รวมถึงแนวโน้มการผลิต–การบริโภค และทิศทางการตลาดน้ำตาลทั่วโลกที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
ภายในงานยังมีการนำเสนอ พันธุ์อ้อยใหม่จากหลายหน่วยงานรัฐ เพื่อให้สมาชิกได้เรียนรู้ หากต้องการนำไปทดลองปลูกก็สามารถประสานขอพันธุ์เพื่อขยายต่อในแปลงของตนได้ นอกจากนี้สมาคมได้สรุปผลงานรอบปี และชี้แจงงบการเงินต่อสมาชิกอย่างโปร่งใสตามข้อบังคับ
เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่พี่น้องชาวไร่อ้อย สมาคมมอบรางวัลชาวไร่ดีเด่นจากทั้ง 12 โรงงาน พร้อมจับรางวัลพิเศษรวมกว่า 500 รางวัล อาทิ รถกระบะ 1 คัน รถจักรยานยนต์ สร้อยคอทองคำ รวมถึงของรางวัลอื่นๆ อีกจำนวนมาก โดยผู้ได้รับรางวัลใหญ่ต้องอยู่ในงานขณะจับรางวัล ส่วนของรางวัลทั่วไปต้องรับภายในเวลา 21.00 น. นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการสินค้าเกษตรและปัจจัยการผลิตราคาประหยัด เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับสมาชิกในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่สมาชิกให้ความสนใจ คือสถานการณ์ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกที่ร่วงหนัก โดยราคาน้ำตาลทรายดิบจากเดิมที่เคลื่อนไหวสูงกว่า 20 เซนต์/ปอนด์ตลอด 4 ปีหลังสุด ลดลงเหลือประมาณ 14 เซนต์/ปอนด์ ส่งผลให้ราคาอ้อยขั้นต้นปีนี้มีแนวโน้มต่ำกว่า 900 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 4–5 ปี
ที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยได้ประโยชน์จากราคาน้ำตาลสูง ทำให้ราคาอ้อยอยู่ในระดับดี เช่น ปี 2566/67 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,420 บาท/ตัน ปี 2567/68 อยู่ที่ 1,160 บาท/ตัน แต่ปีนี้สถานการณ์กลับพลิกผัน เนื่องจาก ผลผลิตน้ำตาลโลกมีมากเกินกว่าความต้องการ สภาพอากาศหลายประเทศเอื้ออำนวย เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ภูมิรัฐศาสตร์ตึงเครียด ความต้องการใช้น้ำตาลในอุตสาหกรรมลดลง ล้วนส่งผลให้ราคาน้ำตาลตกต่ำต่อเนื่อง
ขณะที่นายกำธร กิตติโชติทรัพย์ นายกสมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อยเขต 7 กล่าวเชิญชวนสมาชิกให้ร่วมกันแสดงพลังและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมย้ำว่าความผันผวนของราคาอ้อยถือเป็น วัฏจักร ที่เกิดขึ้นทุก 4–5 ปี ชาวไร่อ้อยเคยผ่านมาแล้วหลายครั้ง และสามารถยืนหยัดได้ด้วยการปรับตัว
โดยเน้นให้สมาชิกบริหารจัดการแปลงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ตัดอ้อยสดให้สะอาด เพิ่มความหวานเพื่อให้ได้ราคา เลือกพันธุ์ที่เหมาะสม ควบคุมต้นทุนทุกขั้นตอน จัดการขนส่งให้เหมาะสม
สมาคมยืนยันว่าจะเดินหน้าหางบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐและกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อช่วยพยุงราคาอ้อยในฤดูกาลผลิตนี้ ลดภาระต้นทุนและประคองอาชีพของสมาชิกให้เดินหน้าต่อได้
กีรติ ก้อนทองคำ จ.กาญจนบุรี


