สมุทรปราการ – ตำรวจน้ำคุมเข้มทะเลชายแดน ปล่อยเรือตรวจการณ์สกัดลอบขนเชื้อเพลิง หนุนมาตรการรัฐรับมือสถานการณ์ไทย–กัมพูชา

วันที่ 17 ธันวาคม 2568 เวลา 15.00 น. ที่กองบังคับการตำรวจน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ผู้บังคับบัญชาตำรวจน้ำได้สั่งการระดมกำลังเรือตรวจการณ์ออกลาดตระเวนตลอดแนวชายแดนทางทะเลไทย–กัมพูชา เพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ยุทธภัณฑ์ และสิ่งของต้องห้าม ภายหลังเกิดสถานการณ์การปะทะบริเวณแนวชายแดนระหว่างสองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีคำสั่งงดการนำเข้า–ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อควบคุมและรักษาความมั่นคงของประเทศ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลด้านการข่าวพบว่ายังคงมีกลุ่มผู้ประกอบการบางส่วนพยายามลักลอบลำเลียงน้ำมันเชื้อเพลิงออกนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้เส้นทางอ้อมผ่านประเทศเพื่อนบ้าน และการลักลอบขนส่งทางทะเลโดยใช้เรือประมงดัดแปลงหรือเรือผิดกฎหมาย
จากการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจน้ำจึงสั่งการให้เรือตรวจการณ์หมายเลข 1301 “ชัยจินดา” พร้อมกำลังพล ออกปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน ตรวจสอบ และสกัดกั้นเรือที่มีพฤติการณ์ต้องสงสัยตลอดแนวชายแดนทางทะเล โดยมุ่งเน้นการป้องกันการลักลอบขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ยุทธภัณฑ์ และสิ่งของต้องห้ามที่อาจถูกนำไปสนับสนุนประเทศกัมพูชา ซึ่งการปฏิบัติการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจสนับสนุนด้านความมั่นคงของรัฐ
พ.ต.อ.ศราวุฒิ ลิจฉวีราช รองผู้บังคับการตำรวจน้ำ กล่าวว่า วันนี้ได้รับมอบหมายจาก ผู้บังคับบัญชา พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปนม.ตร. ,พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. เนื่องจากเหตุการณ์ไม่สงบบริเวณชายแดนเพื่อนบ้าน ซึ่งทางตำรวจน้ำ ได้มีภารกิจในการสกัดกั้นและป้องปราม ไม่ให้เรือหรือยานพาหนะที่จะลำเลียงทรัพยากร โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าไปสนับสนุนประเทศเพื่อนบ้าน ตามนโยบายที่รัฐบาลสั่งการมา ซึ่งวันนี้เป็นนิมิตรหมายที่ดีได้รวบรวมกำลังพลตำรวจน้ำทั้งประเทศ โดยใช้เรือตรวจการณ์ชัยจินดา เป็นเรือที่ออกปฏิบัติภารกิจ โดยจะมุ่งหน้าออกไปไปยังชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งเป้าหมายจะรู้อยู่แล้วว่าเรือที่ประกอบกิจการน้ำมันอยู่จุดไหนบ้าง โดยจะได้เข้าไปตรวจสอบ ว่าทำธุรกิจอยู่ในกรอบหรือไม่ โดยจะตรวจสอบ 3 อย่าง คือ 1.คน 2.เรือง 3.สิ่งของ โดยจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะศรชล เพื่อให้ภาพการทำงาน มาในรูปแบบหน่วยราชการที่ทำงานทางทะเล ซึ่งในเรือจะมีอุปกรณ์พิเศษ ทั้งเรดาร์ และโซดาร์ รวมถึง GPS โดยจะรู้ถึงกลุ่มเรือเหล่านั้น ที่เป็นเรือสถานีบรรทุกน้ำมัน ว่าอยู่ตามพิกัด และเรือที่ขนถ่ายน้ำมันจะมีข้อมูลชื่อเรือ ว่า GPS ขึ้นอยู่บริเวณไหน โดยท่าเรือลำไหนวิ่งนอกเหนือเส้นทางที่เขาขอ ก็จะเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งทางทะเลจะไม่เหมือนถนนที่จะมีกล้องวงจรปิด จึงจำเป็นต้องมีการข่าวนำ อาจจะไม่สามารถสกรีนได้ 100% แต่ก็จะผนึกกำลังเพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ถ้าหากเจอเหลือที่ขนน้ำมันให้ทางกัมพูชาจริงอันดับแรก จะต้องตรวจสอบก่อนเพราะไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่าเรือลำนั้นจะไปส่งที่กัมพูชาจริง ซึ่งจะตรวจสอบจากใบข้อมูล ว่าปลายทางอยู่ที่ไหน ซึ่งความผิดอาจจะยังไม่สำเร็จ ก็ต้องป้องปราม และสกัดกั้น ซึ่งการทำงานทางทะเลจะทำได้ประมาณนี้ แต่จะให้จับกุมจะต้องเป็นความผิดซึ่งหน้า ในกรณีที่อยู่นอกราชอาณาจักรจะต้องแจ้งไปยังบริษัทอย่างเดียว หากเขามีเหตุผลรองรับ การดำเนินคดีหากหลักฐานไม่เพียงพอก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ต้องขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ อยากฝากให้ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ซึ่งทางตำรวจน้ำก็เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อบ้านเมือง โดยจะต้องไปอยู่บนเรืออย่างต่ำ 4-5 วัน แล้วแต่ภารกิจ

 

เดี่ยว / ศราวุธ คงสินธ์ จ.สมุทรปราการ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error: ห้าม Copy เนื้อหาและรูปภาพ By มติรัฐ