จากข่าวสารในปัจจุบัน ประเด็นที่ดุเดือดเผ็ดร้อนมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ”ประเด็น สส.พรรคก้าวไกลล่วงละเมิดทางเพศ” จริงๆแล้วประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นใหม่เลย เพราะก่อนหน้านี้ก็มี สส. และคณะทำงานที่เป็นสมาชิกพรรคก็มีประเด็นเช่นนี้มาก่อน แต่ที่สังคมกำลังเดือดดาลคือการที่มันเกิดซ้ำซากซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนนี้นับตั้งแต่เลือกตั้ง สส.แล้วเสร็จมา เอาเฉพาะ สส.ที่โดนคดีคุกคามทางเพศก็ประมาณ 6 เรื่อง มันเยอะจนแม้แต่ผู้สนับสนุน โดยเฉพาะเพศหญิงก็เริ่มจะรับไม่ได้เสียแล้ว และกระบวนการตรวจสอบทางวินัยที่ล่าช้าจนผู้เสียหายต้องไปร้องเรียนกับ สื่อมวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่อยู่ขั้วตรงข้ามพรรคก้าวไกลหรือที่รู้จักในนาม ”ฝ่ายสลิ่ม” แทนเพื่อไม่ให้เรื่องเงียบเอาง่ายๆ ถ้าฝ่ายสลิ่มไม่เอาประเด็นนี้มาโจมตีพรรคก้าวไกล ซึ่งก็ถือว่าเข้าทางคงไม่เป็นประเด็นใหญ่จนพรรคต้องออกมาตอบรับกระแสสังคมอย่างช่วยไม่ได้ เหมือนคนที่ร้อนรนแต่ถึงแม้ว่าจะมีผู้ร้องเรียนเป็นตัวเป็นตนและส่งหลักฐานให้กับทางคณะกรรมการของพรรคสอบ แต่คงใช้เวลานานเป็นเดือนกว่าจะมีบทลงโทษออกมา แทบไม่ต่างจากการทำงานของระบบราชการช้างป่วยที่เคยเป็นวาทะกรรมขอวอดีตหัวหน้าพรรค ช้าจนไม่เหมือนคนรุ่นใหม่ทำงานตามที่มักจะบอกต่อสาธารณะว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่
ในขณะที่พรรคอื่นที่มีเรื่องราวคล้ายๆ กันเช่นกรณีของท”ปริญญ์ พานิชภักดิ์” อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเรื่องฉาวโฉ่ทางเพศเมื่อปีก่อน ในตอนนั้นถึงแม้ปริญญ์ จะไม่ได้เป็น สส.แต่ก็เป็นถึงรองหัวหน้าพรรค ปริญญ์ก็ลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคเพียงไม่กี่วันหลังโดนแฉ แม้ว่าในภาพภายนอกอาจจะดูเหมือนถูกกดดันจากกลุ่มสิทธิสตรี สีดาลุยไฟ กลุ่มการเมืองที่อ้างความเท่าเทียมและนักวิชาการต่างๆ ซึ่งหากใครติดตามการเมืองมาตลอดจะรู้ดีว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ใครทำเรื่องไม่ดีหรือก่อคดีร้ายแรงก็จะรีบลาออกจากตำแหน่งที่มี เพื่อไปจัดการปัญหาของตนเองโดยไม่ต้องรอใครมากดดันหรือด่าทอ ก็เป็นเรื่องแปลกว่าทำไมพรรคก้าวไกลถึงมักอ้างมาตรฐานสูงแบบเดียวกัน ทั้งที่ตลอดหลังเลือกตั้งเสร็จกระทั่งปัจจุบัน มี สส.ก่อคดีทางเพศแล้วหลายคน แต่มาตรฐานของพรรคทำได้แค่เพียงขับออกจากพรรคได้เพียงคนเดียว แถมยังเก็บติ่งร้ายให้คนด่าเล่น และให้ติ่งของพรรคแบกปัญหาและคอยแก้ต่างให้จนหลังแอ่นกันเลยทีเดียว และก็เป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่พรรคก้าวไกล มีคนก่อคดีทางเพศขนาดนี้แต่กลุ่มสิทธิสตรี สีดาลุยไฟ กลุ่มการเมืองที่อ้างความเท่าเทียมและนักวิชาการต่างๆ ไม่ยอมออกมาเคลื่อนไหวกดดันอะไรเลย เงียบอย่างกับเป่าสาก ต่างจากกรณีของปริญญ์ ที่ร้ายแรงพอๆ กันแต่มีการเคลื่อนไหวแทบจะเผาพรรค ทำเสมือนหนึ่งปริญญ์เป็นอาชญากรฆ่าคนตาย มันแสดงถึงนัยยะบางอย่างที่กลุ่มสิทธิสตรี สีดาลุยไฟ กลุ่มการเมืองที่อ้างความเท่าเทียมและนักวิชาการต่างๆ ไม่ใช่กลุ่มที่เป็นกลางทางการเมือง หากแต่เพียงแค่เพียงวิ่งหาแสงเท่านั้น ไม่ได้ทำตามวัตถุประสงค์เพื่อสังคมใดๆ ทำไปเพียงเพื่อสร้างภาพลบให้แต่พรรคที่มีแนวทางการเมืองไม่เอื้ออำนวยต่อฝ่ายตนกล่าวง่ายๆ คือ ”เป็นเพียงกลุ่มที่สนับสนุนแนวคิดของพรรคการเมือง ที่ใช้บทบาทคนรุ่นใหม่บังหน้า” เท่านั้นเอง
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่ว่าทำไมพรรคก้าวไกลถึงไล่ สส.ได้เพียงคนเดียว นั้นคือนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี เพราะว่าเขาเป็นสส.จากต่างจังหวัด ซึ่งส่วนมากการคัดเลือกลงสมัครมักจะมาจากการที่ผู้สนับสนุนพรรคในพื้นที่เลือกตั้งแล้วเสนอชื่อไปยังพรรคอีกที เหมือนกับกรณีของนายทองแดง เบญจะปัก อดีต สส.ก้าวไกลสมุทรสาคร ที่ก็มีที่มาแบบนี้เหมือนกัน ต่างจากกรณีของ” สส.ปูอัดสลัดไข่” ที่เป็นสส.ในส่วนของพื้นที่กทม.และปริมณฑล ส่วนมากจะมีที่มากจาก ”ทีมงานของผู้บริหารพรรค” หรือเรียกแบบง่ายๆคือเด็กข้างไข่ของผู้ใหญ่ ยกตัวอย่าง เช่น สส.สมุทรสาครทั้ง 3 เขต ก็มาจากทีมงานของผู้บริหารท่านหนึ่งในพรรคและเป็นคณะทำงานภายในมาก่อนจะลงสมัครด้วย ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า”การเข้าถึงข้อมูลภายในพรรคต่างกัน” อย่างนายวุฒิพงศ์ที่เป็นเพียง สส.ต่างจังหวัดก็เข้าถึงข้อมูลได้เพียงว่ามีคนของผู้บริหารพรรคคนหนึ่งไปมีเอี่ยวกับผลประโยชน์กองขยะในพื้นที่ปราจีนบุรี ตามที่แฉในสื่อเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่ข้อมูลคอขาดบาดตายอะไร เพราะต่อให้เป็นความจริงก็โบ้ยว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้ช่วยคนนั้น หรือมากสุดก็แค่ให้ผู้บริหารท่านนั้นลาออกไปอยู่เงียบๆ สักพักแล้วกลับมาใหม่ในตำแหน่งอื่น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรสำหรับวงการการเมือง แต่มันไม่ใช่สำหรับ สส.ปูอัดสลัดไข่ ที่เขาเป็นถึงผู้ติดตามส่วนตัวของผู้บริหารพรรค เข้านอกออกในเป็นประจำ อาจจะทำให้เป็นคนๆ หนึ่งที่รับรู้ข้อมูลความลับหรือเรื่องลับลมคมในของคนใหญ่คนโตในพรรคมากคนหนึ่งเลยก็ได้ แล้วการที่เป็นทั้งคนสนิทและ สส.ในกทม.ที่ซึ่งเป็นแหล่งของ สส.ที่มาจากทีมงานของผู้ใหญ่ ก็น่าจะมีความสนิทเหนียวแน่นประมาณหนึ่ง หรือคนของพรรคคนอื่นรู้เห็นหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการกระทำของ สส.ปูอัด อยู่แล้ว ถ้าสส.ปูอัดโดนเล่น ก็อาจจะย้อนเกล็ดมาถล่มพรรคเหมือนกับ สส.วุฒิพงศ์ ก็ได้ แล้วอาจจะพาลากไส้แฉผู้บริหารหรือ สส.อีกหลายคนก็ได้ ทีนี้มันก็จะว้าวุ่นกันไปใหญ่ จึงอาจจะเป็นที่มาของเสียง สส.ที่ไม่พอให้มีมติไล่ออกได้
แต่ทั้งนี้ท้ายสุดก็ถูกขับออกจนได้ แต่ก็คงยังเป็น สส.อยู่เพราะคงไม่ลาออกเองจากพฤติกรรมที่ผ่านมา เขาก็อาจจะไปรวมอยู่กับ พรรคที่เป็นถังขยะเปียก เหมือนกับท่านรองฯ อ๋องได้ไปอาศัยใบบุญ พึ่งพาให้ได้เป็นรองประธานสภาฯ ต่อ ซึ่งก็จะทำให้พรรคดังกล่าว ถูกมองเป็น ”ถังขยะเปียกของก้าวไกล” อย่างที่คอลัมนิสต์อาวุโส บางท่านได้ล้อเอาไว้ แล้วก็จะทำให้รองฯอ๋องมัวหมองไปด้วย จากการที่ต้องอยู่ร่วมกับ สส.แบบนั้น รวมถึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ”พรรคก้าวไกลก็เหมือนพรรคการเมืองไทยปกติทั่วไปเท่านั้น” ไม่ได้วิเศษหรือมาตรฐานสูงอะไร ขนาดแค่คัดคนมาเป็น สส.ยังมีพวกต่ำกว่ามาตรฐานและพวกบ้ากามหลุดมามากขนาดนี้ หรือแม้แต่ก่อนหน้าก็ยอมรับแบบเงียบๆ ว่านโยบาย 3,000 บาท เงินคนชราที่พรรคหาเสียงไว้อาจทำไม่ได้จริง แล้วเราประชาชนควรจะหวังอะไรต่อไป กับพรรคที่ขายความเป็นคนรุ่นใหม่ หรือแค่รอให้คนรุ่นใหม่จัดระบบและล้างบ้านตัวเองก่อน ที่จะเข้ามามีอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน ให้ก้าวไกลเหมือนชื่อพรรคหรืออย่างไร
บทความโดย จัตุราคม