ตามที่เคยเป็นกระแสข่าวดังของสังคม “หัวหน้าสำนักงานปลัดเทศบาลตำบลเกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เลือดร้อน ชกต่อยกับชาวบ้านและชักปืนประจำกายยิงขึ้นฟ้า ภายหลังนำกำลังเดินทางไปเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้ดำเนินการจัดการตลาดและผู้ค้าในตลาดแห่งหนึ่งเพื่อแจ้งให้ขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนดำเนินการแต่กลับมีปากเสียงและถูกกลุ่มบุคคลนับ 10 คนชกต่อย รุมทำร้ายร่างกายจนต้องใช้มาตรการตามขั้นตอน
โดยใช้อาวุธปืนประจำกายยิงขึ้นฟ้าเพื่อป้องกันตัวและพนักงานราชการคนอื่นๆจนเกิดคลิปภาพเผยแพร่กระจายไปในโลกโซเชียลเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานาพร้อมทั้งถูกตั้งคณะกรรมการสอบมีผลกระทบกับตำแหน่งราชการ เพราะถูกกลุ่มคู่กรณีแจ้งความดำเนินคดีโดยกล่าวหาว่า เป็นเจ้าพนักงานละเว้นหรือปฏิบัติงานโดยมิชอบ และพยายามฆ่า สุดท้ายอัยการวิเคราะห์จากสำนวนพยานหลักฐานสั่งไม่ฟ้อง จึงพ้นผิด
ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ก.ย.67 นายพิสิฐพร ศรีคำนวณ พนักงานเทศบาล ตำแหน่งหัวหน้าสำนักปลัดเทศบาลตำบลเกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานีสมัยนั้น ปัจจุบันดำรงตำแห่ง ผอ.กองยุทธศาสตร์และงบประมาณ สำนักงานเทศบาลเมืองชุมพร ได้เดินทางพบผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดชุมพร พร้อมนำเอกสารคำพิพากษาของศาลเพื่อขอความเป็นธรรมกอบกู้ศักดิ์ศรีข้าราชการคนหนึ่งซึ่งหลังเกิดเรื่องไม่มีโอกาสชี้แจง และถูกกล่าวโทษจนตกเป็นจำเลยสังคมมาโดยตลอดตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อช่วงกลางคืนของต้นเดือนมกราคม 2563
โดยกล่าวว่า หลังจากถูกกลุ่มคู่กรณีแจ้งความดำเนินคดีโดยกล่าวหาว่า เป็นเจ้าพนักงานละเว้นหรือปฏิบัติงานโดยมิชอบ และพยายามฆ่า สุดท้ายอัยการวิเคราะห์จากสำนวนพยานหลักฐานสั่งไม่ฟ้อง จึงพ้นผิด ในส่วนของตนเองได้ดำเนินการแจ้งความกล่าวโทษกับกลุ่มที่เข้ามาทำร้ายตนด้วยเช่นกันเนื่องจากฐานะผู้เสียหายจากการถูกทำร้าย จำนวน 4 คนประกอบด้วยจำเลยที่1.น.ส.ญาดาวดี จำเลยที่ 2.นายรังสฤษฏ์ จำเลยที่ 3.นายอิทธิพล ส่วนจำเลยที่ 4 รับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริงตามฟ้องของศาลชั้นต้น โจทย์ร่วมจึงไม่ได้ติดใจที่จะอุทธรณ์คดีเนื่องจากว่าได้สำนึกผิด
โดยศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลอาญา มาตรา 138 วรรณสอง 296 การกระทำจองจำเลยที่ 1 และ2 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ จำคุกจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 คนละ 1 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท จำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 1 และ2 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามกฎหมายประมวลอาญา มาตรา 29 ,30 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และยกคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทย์ร่วม
หลังจากนี้ตนในฐานะโจทย์ร่วมและเป็นผู้เสียหายได้ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นคู่ความไม่ได้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และ2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทย์ร่วมมีเพียงว่า มีเหตุให้รอลงการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และ2 หรือไม่ โดยโจทย์ร่วมอุทธรณ์ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลเกาะเต่า และมีตำแหน่งเป็นรองประธานสภาเทศบาลตำบลเกาะเต่า เป็นผู้นำชุมชนกลับพูดจาปลุกระดมชาวบ้านให้ขัดขืนการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของโจทย์ร่วม จำเลยที่ 1 และ2 ลงมือทำร้ายโจทย์ร่วม พฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง การรอลงโทษจำคุกจะเป็นเยี่ยงอย่างกับบุคคลผู้กระทำความผิดอื่น ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และ2 โดยไม่รอการลงโทษนั้น เห็นว่า
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลเกาะเต่าและยังเป็นรองประธานสภาฯ ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ได้ความไว้วางใจจากประชาชนในท้องที่และในองค์กรสภาเทศบาลฯให้ทำหน้าที่อันมีเกียรติในการปฏิบัติหน้าที่ ควรต้องปฏิบัติตนให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีของสังคม การที่โจทย์ร่วมซึ่งทีตำแหน่งเป็นหัวหน้าสำนักปลัดเทศบาลตำบลเกาะเต่าไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากนายกเทศมนตรีเพื่อเจรจาให้ผู้ดำเนินการจัดการตลาดในที่เกิดเหตุไปดำเนินการขออนุญาตจัดตั้งตลาดให้ถูกต้องตามกฎหมาย
แต่กลับถูกจำเลยที่ 1 ซึ่งทำงานอยู่สถานที่เดียวกันแสดงพฤติกรรมที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของโจทย์ร่วม หลังศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามฟ้องแล้วจำเลยที่ 1 ก็ไม่อุทธรณ์คำพิพากษา แต่กลับให้การข้อเท็จจริงต่อพนักงานคุมประพฤติว่ามิได้ทำร้ายร่างกายโจทย์ร่วมถือได้ว่าไม่สำนึกผิดในการกระทำของตน ทั้งนี้มิได้พยายามบรรเทาผลร้ายแรงแต่อย่างใด แม้จำเลยที่ 1 จะไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อนก็ตาม ก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 ได้
ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นทางพิจารณาและรายงานพินิจสืบเสาะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมมาก่อน และในช่วงที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตลาดที่เกิดเหตุ แต่กลับเข้าร่วมทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมขณะปฏิบัติหน้าที่และให้ข้อเท็จจริงต่อพนักงานคุมประพฤติรับว่าร่วมทำร้ายร่างกายจริง ถือว่าสำนึกผิดในการกระทำ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยต้องโทษมาก่อนจึงให้โอกาสจำเลยที่ 2 ปรับตนเป็นพลเมืองดี พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ให้คุมความประพฤติกำหนด 1 ปี สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่ลงโทษปรับและไม่รอการลงโทษจำคุก
ทั้งนี้ตนเองขอความเป็นธรรมผ่านสื่อเนื่องจากหลังเกิดเหตุสื่อที่นำเสนอไปว่าเป็นเจ้าพนักงานไปรังแกชาวบ้าน ณ ตั้งแต่เกิดเหตุเป็นต้นมาไม่มีสื่อเข้ามาขอสัมภาษณ์ซึ่งตนเองเป็นผู้เสียหาย จากเหตุที่เกิดขึ้น วันนี้ศาลชั้นอุทธรณ์ชัดแจ้งทั้งพฤติกรรมและคดี จึงขอความเมตตาจากสื่อช่วยตีแผ่นำเสนอข่าวที่ชัดเจนเพื่อขอความเป็นธรรมให้ตนเองและองค์กร
เอกชนะ นวนละมัย ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ชุมพร 098-9515199