ชุมพร – ความคืบหน้าชาวบ้านตำบลเกาะเต่า ยื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ส่งประเด็นข้อกฎหมายขัดหรือแย้งกฎหมายรัฐธรรมนูญ ต่อศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญ

วันนี้ วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗  ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช พร้อมนายกิตติศักดิ์ บุญชัย และราษฎร์ชาวเกาะเต่า กว่า ๒๐ คน  ได้มายื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของราษฎรชาวเกาะเต่า กรณีกรมธนารักษ์ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุมิชอบด้วยกฎหมาย และส่งประเด็นข้อกฎหมายที่ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญต่อศาลปกครองหรือศาลรัฐธรรมนูญ 

สืบเนื่องมาจาก กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังได้ขึ้นทะเบียนเกาะเต่าเป็นที่ราชพัสดุทั้งเกาะจำนวน ๑๕,๐๐๐ ไร่  หรือประมาณ ๒๑ ตารางกิโลเมตร  โดยมิชอบ  ด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเนื่องจาก  ก่อนปี ๒๔๘๐ ราษฎรได้เข้ามาจับจองครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยบริเวณเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยทำสวนมะพร้าว ที่บริเวณแม่หาด และบริเวณหาดทรายรี บริเวณโฉลกบ้านเก่า  ต่อมา  ประมาณปี ๒๔๘๕  กรมราชทัณฑ์ได้มีการก่อสร้างเรือนจำซึ่งเป็นเรือนจำปิด มีรั้วรอบขอบชิด ประมาณ ๒๕ ไร่ ในปี ๒๔๘๖ ได้มีการย้ายนักโทษการเมือง กบฏบวรเดช จำนวน ๕๔ คน จากเกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล มาอยู่ที่เกาะเต่า จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ประมาณปีเศษ และได้มีการอภัยโทษ และปล่อยตัวไป เรือนจำดังกล่าวก็ถูกทิ้งร้าง ต่อมา ในปี ๒๔๙๐  กระทรวงการคลังได้ประมูลขายสิ่งปลูกสร้างเรือนจำ  ในส่วนของราษฎรก็ยังคงครอบครองทำประโยชน์บนพื้นที่เกาะเต่า มีการทำสวน ทำไร่ ทำสวนมะพร้าว ทั่วบริเวณเกาะ

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗  ประมวลกฎหมายที่ดินเริ่มใช้บังคับ และให้ราษฎรที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินไปขึ้นทะเบียนสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง(ส.ค.๑) ภายใน ๑๘๐ วัน แต่ไม่สามารถแจ้งสิทธิการครอบครองได้ เพราะนายครรชิต พัฒนศรี สรรพากรอำเภอเกาะสมุย ในฐานะตัวแทนกระทรวงการคลังได้แจ้งการครอบครองที่ดินบริเวณเกาะเต่าตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.๑ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๔๙๘ ทั้งเกาะ เนื้อที่ ๑๕,๐๐๐ ไร่  เกินกว่า ๒๕ ไร่  ที่กรมราชทัณฑ์ครอบครองอันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย  จึงทำให้ราษฎรไม่สามารถแจ้งสิทธิครอบครองที่ดิน(ส.ค.๑) ได้จนถึงปัจจุบัน  เพราะกรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนที่ดินบริเวณเกาะเต่าทั้งแปลงเป็นที่ราชพัสดุ  ซึ่งเป็นการขึ้นทะเบียนโดยความผิดพลาดคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย  แต่ราษฎรยังคงครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่วต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน  เป็นเหตุให้ราษฎรเกาะเต่าได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการขึ้นทะเบียนของกรมธนารักษ์  การขึ้นทะเบียนดังกล่าวเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างกรมธนารักษ์กับราษฎรชาวเกาะเต่ามายาวนานจนถึงปัจจุบันยังหาข้อยุติไม่ได้  

จากข้อพิพาทดังกล่าว ราษฎรชาวเกาะเต่าจึงได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อหน่วยงานรัฐหลายครั้ง ดังนี้
๑.ในปี ๒๕๒๙ ได้ยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ขอออกเอกสารสิทธิหรือ น.ส.๓ ของที่ดินเกาะเต่า และเกาะห่างเต่า
๒.ในปี ๒๕๔๖ ได้ร้องเรียนผ่านสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี และได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับราษฎร โดยมีข้อสรุปว่า ที่ราชพัสดุแปลงเกาะเต่านั้นมีเพียงพื้นที่ที่เป็นเรือนจำโดยสภาพเท่านั้น ซึ่งขณะนั้นประมาณการว่ามีเนื้อที่ประมาณ ๒๕ ไร่เศษ นอกเหนือจากนั้นกรมธนารักษ์ควรคืนให้แก่ราษฎร
๓.ในปี ๒๕๖๑ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อแม่ทัพภาค ๔ ในฐานะผู้อำนวยการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค ๔ (กอ.รมน.ภาค ๔) และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้มีคำสั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ ๔๗๕๕/๒๕๖๑ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินแปลงเกาะเต่าเพื่อหาข้อเท็จจริงที่ดินราชพัสดุแปลงเกาะเต่า โดยมีพลตรีเกรียงไกร ศรีรักษ์ ผู้บัญชาการกองบัญชาการช่วยรบที่ ๔ เป็นประธานคณะทำงาน
๔.ในปี 2562 ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องราษฎรตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะ     พะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ร้องเรียนข้อความเป็นธรรมในการพิสูจน์สิทธิที่ดินและขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมและใบอนุญาตเกี่ยวกับอาคาร
๕.ในปี ๒๕๖๕ ได้ยื่นหนังสือถึงสำนักงานเทศบาลตำบลเกาะเต่าได้ติดตามเรื่องดังกล่าว โดยออกหนังสือสำนักงานเทศบาลตำบลเกาะเต่า ที่ สฎ ๗๕๖๐/๓๐๒ ลงวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๕ ถึงผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ /หัวหน้าคณะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่กองทัพภาคที่ ๔ เรื่อง ขอความเป็นธรรมอนุเคราะห์ตรวจสอบกรณีธนารักษ์พื้นที่ออกเอกสารสิทธิ์ครอบทั้งเกาะกระทบสิทธิ์ที่ดินของราษฎรตำบลเกาะเต่า
จากการที่ราษฎรยื่นหนังสือร้องเรียนดังกล่าวได้มีการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและลงพื้นที่เกาะเต่าเพื่อสอบข้อเท็จจริง  ได้ความตรงกันว่า
๑.เกาะเต่าไม่เป็นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมาย
๒.การขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุแปลงเกาะเต่าไม่ถูกต้อง
๓.การแจ้งสิทธิการครอบครองที่ดิน(ส.ค.๑) ของนายครรชิต พัฒนศรี สรรพากรอำเภอเกาะสมุย ในฐานะตัวแทนกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๔๙๘ ที่ระบุว่ามีการใช้ประโยชน์จดทะเลทั้ง ๔ ด้าน หรือทั้งเกาะ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ไร่ เป็นการแจ้งสิทธิการครอบครองที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะกรมราชทัณฑ์ได้ใช้ประโยชน์เพียง ๒๕ ไร่ ส่วนที่แจ้งการครอบครองเกิน ๑๔,๙๗๕ ไร่ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
๔.การแจ้งการครอบครองที่ดินแปลงเกาะเต่า (ส.ค.๑) ของกระทรวงการคลัง ไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ ต่อกระทรวงการคลังและถือเป็นการกระทำที่ปิดกั้นโอกาสการใช้สิทธิ์ของราษฎร
๕.กรมราชทัณฑ์ ไม่ได้ใช้ประโยชน์เกาะเต่าทั้งเกาะเป็นที่กักขังนักโทษ ใช้เฉพาะพื้นที่เรือนจำบริเวณแม่หาด ประมาณ ๒๕ ไร่เศษ
๖.ราษฎรมีการถือครองและใช้ทำประโยชน์ที่ดินเกาะเต่ามาโดยตลอด โดยพิจารณาจากผลการตรวจพิสูจน์อายุพืชผลอาสิน เช่น ต้นมะพร้าวในพื้นที่เกาะเต่า ซึ่งมีอายุการปลูกตั้งแต่ปี ๒๔๗๗ ถึง ๒๔๙๕ ก่อนที่กรมราชทัณฑ์จะปลูกสร้างเรือนจำในปี ๒๔๘๕-๒๔๘๗ และสอบปากคำราษฏรผู้สูงอายุและทายาท จำนวน ๔๗ ราย

จากการสืบสวนสอบสวนของหน่วยงานดังกล่าวฟังได้ว่า กรมราชทัณฑ์ ใช้พื้นที่เพียง ๒๕ ไร่ เท่านั้น  การที่ต่อมา กรมราชทัณฑ์ส่งมอบพื้นที่ให้แก่กรมธนารักษ์ ควรส่งเพียง ๒๕ ไร่ ไม่ใช่ ๑๔,๙๗๕ ไร่ ที่ราษฎรเกาะเต่าครอบครองอยู่  การที่กรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ และแจ้งแบบการครอบครอง(ส.ค.๑) ทั้งเกาะ หรือจำนวน ๑๕,๐๐๐ ไร่  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย หน่วยงานดังกล่าวจึงแจ้งให้กรมธนารักษ์เพิกถอนส่วนที่มีการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและแบบการครอบครอง(ส.ค.๑) ทั้งเกาะ หรือจำนวน ๑๕,๐๐๐ ไร่  แต่กรมธนารักษ์ก็เพิกเฉยจนถึงปัจจุบัน และมีข้อพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

ต่อมา  ราษฎรเกาะเต่าจึงได้ฟ้องกรมธนารักษ์ เป็นคดีศาลปกครองนครศรีธรรมราช จำนวน ๒ คดี  คือ หมายเลขดำที่ 129/2567 ฯ และคดีหมายเลขดำที่ 279/2567 ฯ  เพื่อให้ศาลปกครองมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนที่ราชพัสดุและแบบการครอบครอง(ส.ค.๑) ทั้งเกาะ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ไร่ โดยเป็นของกรมธนารักษ์เพียง ๒๕ ไร่เศษ  เพื่อราษฎรชาวเกาะเต่าจะได้มีสิทธิขอออกโฉนดที่ดินที่ตนครอบครอง

แต่เนื่องจาก  ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗  มาตรา ๕๙ ทวิ ได้บัญญัติให้ผู้ที่ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับที่ไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ของที่ดินและไม่ได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา ๕  สามารถออกโฉนดที่ดินได้  ซึ่งออกโดยสภาผู้แทนราษฎร  แต่ปรากฏว่า รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ข้อ ๑๔ “ที่ดินจะออกโฉนดที่ดินต้องเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิในที่ดินได้ครอบครองและทำประโยชน์แล้ว และเป็นที่ดินที่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ตามกฎหมายแต่ห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินดังต่อไปนี้ …….. (๓) ที่เกาะ แต่ไม่รวมถึงที่ดินของผู้ซึ่งมีหลักฐานแจ้งการครอบครองที่ดิน มีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดตราจอง ตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว”  ซึ่งการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓  (พ.ศ.๒๕๓๗)  ข้อ ๑๔(๓)
๑.เป็นการจำกัดสิทธิของประชาชนบนเกาะมิให้ขอออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๙ ทวิ จึงเป็นการปิดโอกาสที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของประชาชนมิให้ได้มีโอกาสพิสูจน์สิทธิตามกฎหมายเหมือนเช่นผู้ครอบครองที่ดินทั่วไปที่มิใช่ที่เกาะ
๒.เป็นการขัดต่อ ประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งตามมาตรา ๕๙ ทวิแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
๓.เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๖ และ ๒๗ และตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ๔๒๐/๒๕๕๐

ดังนั้น  ในวันนี้จึงได้มายื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน  โดยให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 230 เสนอเรื่องไปยังศาลปกครองกลางตามมาตรา 231 เพื่อให้ยื่นเสนอข้อกฎหมายดังกล่าวว่าขัดหรือแย้ง ในการบังคับใช้ที่เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมว่ามาตรการตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ข้อ ๑๔ (๓) เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๕๙ ทวิ ซึ่งเดิมรัฐยังให้การรับรองสิทธิของผู้ครอบครองที่ดินมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน โดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน (พ.ศ. ๒๔๙๗) แต่ไม่สามารถนำมาบังคับใช้ภายหลังมีการตรากฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ข้อ ๑๔ (๓) จึงเป็นกรณีที่กฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 มาตรา ๒๖ และ ๒๗ หรือไม่อย่างไร ต่อศาลที่มีเขตอำนาจ อาทิ ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองกลางหรือศาลปกครองสูงสุด โดยแก้ไขกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ.2537) ข้อ 14 ในส่วนที่มีหลักฐานแจ้งการครอบครองที่ดิน มีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดตราจอง ตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” หรือได้สิทธิครอบครองก่อน พ.ศ.2497 แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวก็ตาม เพื่อให้ราษฎรเกาะเต่ามีสิทธิออกโฉนดที่ดิน แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ตาม เพื่อให้ราษฎรเกาะเต่าได้รับความเป็นธรรมและบรรเทา เยียวยา ความเดือดร้อนเสียหายที่ราษฎรเกาะเต่าได้รับมาอย่างยาวนาน

เอกชนะ นวนละมัย ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ชุมพร 098-9515199

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error: ห้าม Copy เนื้อหาและรูปภาพ By มติรัฐ