สาวร้องสื่อถูกยึดที่ดินทำเป็นถนนสาธารณะเข้าหมู่บ้านด้วยกระดาษ A4 เพียงฉบับเดียว

นางสาวเกื้อภัสสร น้ำทิทย์ พร้อมนายสมควร ชัยเนตร น้องชาย เจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งในซอยวัชรพลซอย 3 เข้าร้องทุกข์ขอความความเป็นธรรมต่อสื่อมวลชน พร้อมพาลงพื้นที่ชี้จุดที่ตนอ้างว่าถูกยึดใช้เป็นทางสาธารณะประโยชน์ เพื่อใช้เป็นทางเข้าออกหมู่บ้าน โดยพบว่ามีลักษณะเป็นถนนทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กว้างประมาณ 6 เมตร (2 ช่องทางเดินรถ) ระยะทางยาวประมาณ 60 เมตร บริเวณกลางถนนมีการพ่นสีแดงเอาไว้ซึ่งทางผู้ร้องอ้างว่า เดิมเป็นหมุดแนวเขตที่ดินของตนเองที่ถูกถอดหมุดอออกไปแล้ว นางสาวเกื้อภัสสร น้ำทิพย์ระบุว่า วันนี้ตนเองมาขอเรียกร้องขอความเป็นธรรมในฐานะผู้ครอบครองโฉนดที่ดินอย่างถูกต้อง เดิมที่ดินแปลงนี้คุณพ่อได้ซื้อไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ 2531 จำนวน 1 ไร่ 3 งาน 55 ตารางวา ซึ่งเป็นทางตัน มีลำคลองกั้นอย่างชัดเจน ต่อมาปี 2533 ได้มีการจดทะเบียนก่อสร้างหมู่บ้าน และทำหนังสือสอบถามไปยังเขตเกี่ยวกับถนนว่าเป็นทางสาธารณะหรือไม่หลังจากนั้น 20 วันใด้มีเอกสาร A4 จากเขตบางเขนแจ้งว่าเป็นถนนสาธารณะ แล้วก็มาทำหมู่บ้านเลย ซึ่งตามพรบ.หมู่บ้านจัดสรรค์หากเป็นที่ดินตาบอดจะไม่สามารถสร้างได้ ต่อมามีเอกสาร A4 เพียงฉบับเดียวซึ่งออกโดยรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเขต( บางเขน ) มาแสดงให้ตัวเอง ซึ่งมีการโต้แย้งกรรมสิทธิ์มาโดยตลอด

ปี 2534 หมู่บ้านเริ่มก่อสร้างสะพานและถนนคอนกรีตเข้าไปยังหมู่บ้านบนที่ดินที่คุณพ่อซื้อไว้เพื่อเป็นทางเข้าออกจนแล้วเสร็จในปี 2535 ทั้งนี้ปี 2536 คุณพ่อได้นำที่ดินแปลงนี้ไปจำนองกับธนาคารเป็นเวลา 12 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 แปลง ระหว่างนั้นหมู่บ้านนี้เริ่มจัดสรรโครงการให้แก่ประชาชน มีการไฟฟ้ามาปักเสาไฟลงในที่ดินตนเอง ซึ่งมีการคัดค้านให้รื้อถอนสะพานข้ามคลองและถนนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ตนมาโดยตลอด

ปี 2546 คุณพ่อได้ไถ่ถอนที่ดินทั้งหมดออกมา และขายออกไปจำนวน 1 แปลงหรือไว้ 2 แปลงจึงได้ทำการฟ้องร้องผู้ที่รุกล้ำที่ดินไปแล้ว ต่อมาคุณพ่อได้เสียชีวิตลง ตนเองจึงเดินทางกลับมาจากต่างประเทศและสืบทรัพย์จนทราบว่าคุณพ่อมีที่ดินตรงนี้อีกแห่งและมีมีการฟ้องร้องกันอยู่ นางสาวเกื้อภัสสร ระบุอีกว่า หลังจากที่ตนเองสืบทรัพย์จนทราบถึงที่ดินตรงนี้ มีการขอมารังวัด โดยตนเองเป็นคนลงลายมือชื่อขอรังวัด วันที่ 17 พฤษาคม 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตนเองยังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินนี้ จากนั้น วันที่ 2 กรกฎาคม 2567 มีหนังสือจากผู้อำนวยการสำนักงานเขต (สายไหม) อ้างว่าถนนนี้เป็น ทางสาธารณะประโยชน์ ซึ่งก่อนหน้านั้น ก่อนที่ศาลจะตัดสิน ทางเขตบางเขน และเขตสายไหม จะทำเป็นสะพานคนข้ามได้รวบรวมรายชื่อ พี่น้องประชาชน ทั้งหมด 50 คน ซึ่งก่อนหน้านั้น 50 คนที่ว่านี้ ได้ไปร้องขอ กับคุณพ่อ ขอเป็นทางเดินเข้า-ออก หลังจาก 50 คนได้ทางเดินเข้าออกแล้ว ทางหมู่บ้าน จึงโยกนำ 50 คนซึ่งก่อนหน้านั้น ที่ได้ไปร้องขอทางออกกับคุณพ่อ ไปเป็น พยานในชั้นศาล แจ้งว่า ทางนี้เป็นทางสาธารณะประโยชน์ สารจึงตัดสิน ตามคำร้องขอของเขตสายไหมและเขต บางเขนดังกล่าว 

ดังนั้น ดิฉันจึงมีหนังสือคัดค้าน วันนี้จึงต้องออกมารักษาสิทธิ์ของตนเองและอยากให้ผู้ที่มีอำนาจช่วยตรวจสอบกรณีนี้ด้วย เพราะคนที่เดือดร้อนคือประชาชนที่ถือโฉนดครุฑแดง แต่ถูกเจ้าหน้าที่อ้างออกจนหมายยึดที่ดินไปเป็นสาธารณเอื้อประโยชน์เพียงหมู่บ้านเดียว

และขอยืนยันไม่เคยมีการอุทิศ หรือยกที่ดินในส่วนที่ทำถนนให้กับผู้ใด ไม่เคยลงนามหรือพูดด้วยวาจาว่าจะยกให้เป็นทางสาธารณะ หากเป็นแบบนั้นจริงแล้วทำไมตนเองยังไปขอใบแทนโฉนดที่มีครุฑแดงทั้ง 2 แปลงออกมาได้

จากนี้ไปหากมีการมาขอซื้อยืนยันว่าจะไม่ขาย และจะปิดเป็นประตูในการจะผ่านเข้าออกก็ต้องจ่ายเงินเท่านั้น ที่ต้องทำแบบนี้เพราะทำไม่ถูกต้อง ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชน ไม่ซื้อสัตย์ต่อคนที่มาซื้อบ้านคุณ

ต่อมาเมื่อ วันที่ 19 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น นางสาวเกื้อภัสสร น้ำทิพย์ ก็ได้ร้องต่อสื่อเพิ่มเติมว่า ตอนนี้คุณแม่ดิฉันยังมีชีวิตอยู่ และได้เดินมายังที่พื้นที่ของตนเพื่อให้ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นได้เห็นว่า พื้นที่ตรงนี้คุณแม่ของคุณ เกื้อภัสสร ยังมีชีวิตอยู่และ

ผู้สื่อข่าวก็ได้ถามคุณแม่ว่า คุณแม่ได้มอบ ที่ดินแปลงนี้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ ตามที่คนในหมู่บ้านอ้างอิงหรือเปล่า คุณแม่ตอบว่า “ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยไม่ว่าจะเป็นให้ด้วยปากเปล่า หรือเซ็นสัญญาใดๆทั้งสิ้น” จากนั้นนางสาวเกื้อภัสสร ก็ได้นำป้ายมาปักติดทางออก เพื่อให้ชาวบ้าน ที่อยู่หมู่บ้านนั้น 200 หลัง รู้ว่า ที่ดินที่คุณอยู่เป็นที่ดินตาบอด และมีคลองสาธารณะกั้นอยู่ ซึ่งคลองตรงนั้น ทางหมู่ได้ทำสพานขึ้นมาทีหลัง เพื่อให้เป็นทางออกมายังที่ดินของดิฉัน และมาทำเป็นถนน ตามที่ได้แจ้งกล่าวเอาไว้ เบื้องต้น

หลังจากที่สร้างหมู่บ้านเสร็จ และทำเป็นทางเข้าออกในพื้นที่ของดิฉัน ซึ่งก่อนหน้านั้น มีชาวบ้านประมาณ 50 คนมากราบขอเป็นทางออกจากคุณพ่อ ซึ่งทางคุณพ่อก็ได้ กล่าวตกลง แต่นั่นหมายถึงว่าไม่ได้ยกให้เป็นที่สาธารณะประโยชน์ ดังกล่าว เป็นการถาวร โดยมีการไฟฟ้าและกทมเป็นผู้ อนุมัติว่าเป็น พื้นที่สาธารณประโยชน์ -วันนี้ดิฉัน จึ้งขอใช้อำนาจสิทธิ์ปิดกั้นในพื้นที่ของดิฉัน และจะฟ้องร้องต่อหน่วยงาน ที่อนุญาต ให้เข้ามาทำทาง ในพื้นที่ของดิฉัน เพื่อเป็นทางสาธารณะประโยชน์ ได้แก่ การไฟฟ้า กทม และหมู่บ้าน และในวันที่ 29 กันยายน 2568 ศาลได้นัดทั้งสองฝ่ายไปฟัง การตัดสิน และคุณเกื้อภัสสรก็ได้เชิญสื่อไปร่วม ฟังเพื่อเป็นสักขีพยาน และตีแผ่ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ ในการกระทำ ของเจ้าหน้าที่ ที่ไม่ถูกต้อง และเจ้าตัวก็ยืนยันว่าจะเดินหน้าเอาเรื่อง เรียกร้องความเสียหาย ทั้ง 3 หน่วยงานนี้ให้ถึงที่สุด

 

cr.เสาร์แก้ว คำพิวงค์ ผู้สื่อข่าวภาคสนาม 087-719-9429

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error: ห้าม Copy เนื้อหาและรูปภาพ By มติรัฐ