วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 น. นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมกำหนดกรอบความร่วมมือ การบูรณาการกลไกความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ไขปัญหา กากสารพิษอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2569 โดยมี พล.ท. วุทธยา จันทมาศ ผู้อำนวยการสำนักบูรณาการและขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (สบข.กอ.รมน.) เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วย เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กรมควบคุมมลพิษ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรมบังคับคดี กรมศุลกากร กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) และกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 1 อาคารเพชรรัตน์ สบข.กอ.รมน.
การประชุมในครั้งนี้ ทุกหน่วยงานราชการได้นำเสนอข้อมูลเพื่อกำหนดกรอบความร่วมมือ โดย กรมโรงงานอุตสาหกรรม นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และภารกิจในการกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมที่อาจเป็นแหล่งกำเนิดกากสารพิษอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานประเภทหรือชนิดในกลุ่มโรงงานผู้รับดำเนินการ ได้แก่ โรงงานลำดับที่ 101, 105 และ 106 รวมจำนวน 2,940 โรงงาน ซึ่งตั้งแต่ปี 2564 – ปัจจุบัน พบข้อมูลในระบบการขออนุญาตนำส่งกากอุตสาหกรรมไปบำบัด/กำจัด มีปริมาณกากอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2567 มีกากอุตสาหกรรมที่เป็น ของเสียไม่อันตราย จำนวน 39.28 ล้านตัน และกากอุตสาหกรรมที่เป็น ของเสียอันตราย จำนวน 1.86 ล้านตัน ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้เข้มงวดต่อการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด ทั้งการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงการออกคำสั่งทางปกครอง การดำเนินคดีอาญา และการฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากผู้กระทำผิด ซึ่งบูรณาการประสานร่วมกันกับหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบต่อกรอบความร่วมมือที่หน่วยงานราชการนำเสนอตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ทางกฎหมาย พร้อมผลักดันกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น
1) มาตรการความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิตต่อผลิตภัณฑ์ หรือ EPR (Extended Producer Responsibility)
2) หลักประกันทางการเงิน (Financial Assurance)
3) การปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ หรือ PRTR (Pollutant Release and Transfer Register)
4) ข้อเสนอเชิงนโยบายหรือแนวทางมาตรการอื่น ๆ
โดยเน้นย้ำการประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เปิดเผยได้ร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และมูลนิธิ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างสมบูรณ์ ครอบคลุม และรวดเร็วทันต่อสถานการณ์
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้กำหนดขอบเขตการดำเนินงาน โดยมุ่ง โรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรม ประเภทโรงงานลำดับที่ 105 และ 106 เป็นหลัก รวมถึง โรงงานเถื่อน และโรงงานอุตสาหกรรมที่ตรวจสอบพบแนวโน้ม มีการลักลอบปล่อยกากสารพิษลงสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีเป้าหมายเร่งด่วนบริเวณโรงงานหนาแน่นและมีความเสี่ยงสูงในพื้นที่ 12+5 จังหวัด ดังนี้
1) 12 จังหวัดพื้นที่เสี่ยงหลัก ได้แก่ จังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปราจีนบุรี สระบุรี สระแก้ว นครราชสีมา ลพบุรี เพชรบุรี และราชบุรี
2) 5 พื้นที่ที่ประเมินเพิ่มเติม ได้แก่ จังหวัดนครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และสงขลา
ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาระยะสั้น ปี 2569 และขยายผลระยะยาวในปีต่อไป
ที่ผ่านมา ปัญหาการลักลอบทิ้งหรือฝังกลบกากสารพิษอุตสาหกรรมโดยไม่เป็นไปตามกฎหมายได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน แต่การควบคุม แก้ไขปัญหา และบังคับใช้กฎหมายจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยังคงเป็นไปอย่างล่าช้าและไม่ทันต่อสถานการณ์ ประกอบกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่มีอยู่ยังไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวโน้มเหล่านี้จึงกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้น หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจึงจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องบูรณาการการทำงาน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการจัดการกากสารพิษอุตสาหกรรม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างเป็นระบบ
Credit : กรมโรงงานอุตสาหกรรม อยู่ที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)


