ในปัจจุบันประเทศไทยเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะ นักลงทุนชาวจีนแผ่นดินใหญ่และจีนไต้หวัน โดยเฉพาะ”ภาคอุตสาหกรรม” ที่สร้างเม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำจากอุตสาหกรรมบางอย่างที่ไม่สามารถดำเนินการได้ในประเทศจีนหรือไต้หวัน เพราะติดปัญหาด้านกฎหมายและปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงก่อเกิดปัญหามลภาวะสิ่งแวดล้อมมากมายตามมา เช่นเรื่องโรงหล่อโลหะ ปล่อยควันพิษ กากแคดเมียม โรงงานรีไซเคิล (Recycle) ขยะ และปัญหาเรื่องกากอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ที่เป็นทำเลที่ดีในการตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยติดกับพื้นที่กรุงเทพฯ ใกล้กับท่าเรือคลองเตยและเครือข่ายรถไฟขนส่งอุตสาหกรรมไปภาคตะวันออก และเป็นพื้นที่ที่จัดอยู่ในโซนอุตสาหกรรมเพราะ ”เงิน ซื้อได้ทุกสิ่งในที่แห่งนี้”,
หากจะสร้างโรงงานก็จำเป็นต้องซื้อที่ดินเป็นของตนเอง ดังนั้นกลุ่มทุนจีนเหล่านี้จึงมักติดต่อ ”นายหน้าค้าที่ดินสำหรับคนจีนโดยเฉพาะ” ซึ่งขบวนการนี้มี ”เจ้าหน้าที่ของรัฐ” อยู่ในขบวนการด้วย โดยปกติที่ดินที่จะสร้างโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างน้อยจะต้องเป็นพื้นที่สีเหลืองขึ้นไป เพื่อรองรับการติดตั้งเครื่องจักรตามกำลังที่กฎหมายกำหนดและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมต่อชุมชน โดยเฉพาะเสียงที่เกิดจากเครื่องจักรและมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ แต่ขบวนการนี้กลับไม่สนเรื่องนี้ แล้วหลอกขายที่ดินใน ”พื้นที่สีเขียว” ที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมทั้งที่รู้ว่ามันสร้างโรงงานไม่ได้ ซึ่งกลุ่มทุนจีนก็มักไม่รู้ถึงเรื่องนี้ จึงซื้อที่ดินดังกล่าวเอาไว้เนื่องจากมีราคาถูก ก่อนที่จะรู้ความจริงในภายหลัง
พอถึงขั้นนี้แล้วขบวนการดังกล่าวก็จะเสนอตัว ”คุยกับผู้มีอำนาจในภาครัฐ เพื่อจ่ายใต้โต๊ะให้ได้ใบอนุญาตสร้างโรงงาน” โดยคิดค่าดำเนินการหลักหลายแสนบาท กลุ่มทุนเหบ่านี้ก็ต้องยอมจ่ายค่าเคลียร์ทางดังกล่าวให้กลุ่มนายหน้า ไปดำเนินการเคลียร์กับผู้มีอำนาจในพื้นที่ เพื่อให้สร้างโรงงานในพื้นที่สีเขียว ที่ได้ซื้อที่ดินเอาไว้แล้ว(ซึ่งส่วนมากจะอยู่กลางชุมชน) ให้แล้วเสร็จจะได้ไม่ขาดทุน ทำให้กลุ่มนักลงทุนชาวจีน กลายเป็นจีนเทาทำผิดกฎหมายโดยสมบูรณ์ ทั้งที่ความจริงก็ไม่ได้อยากทำ แต่จำใจต้องทำไม่งั้นก็จะขาดทุน โดยกลุ่มทุนจีนที่เป็นเหยื่อมักจะเป็นกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยไม่นานในพื้นที่บริเวณอำเภอกระทุ่มแบนและเขตติดต่อกับอำเภอเมืองสมุทรสาครนั่นเอง ฝากผู้มีอำนาจในเรื่องนี้ช่วยมาสอดส่องและจัดการเรื่องนี้ก่อนที่จะเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาและอาจสายเกินแก้ต่อไป
บทความโดย ว่าที่ร้อยตรีเพชรายุทธ ทรงชุ่ม ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสมุทรสาคร
ขอบคุณภาพประกอบจาก เว็บไซต์สำนักงานสมุทรสาคร